สัมภาษณ์พิเศษ น้ากล้วย ฐานุพงศ์ ศักดิ์ธนาวัฒน์

“น้ากล้วยมาแว้ววว ” คงเป็นวลีขบขันที่ติดหูใครหลายๆคน ด้วยความสามารถในการเอนเตอร์เทน และบุคคลิกที่ถ่อมตัว ทำให้น้ากล้วยเข้าไปนั่งในใจใครต่อใครได้ไม่ยากนัก นอกเหนือจากอาชีพการแสดงตลกของน้ากล้วยแล้ว วันนี้ Siamscope จะพาคุณผู้อ่านทุกท่านไปสัมผัสชีวิตในอีกแง่มุมหนึ่งของน้ากล้วยกันค่ะ 

สัมภาษณ์พิเศษ  น้ากล้วย ฐานุพงศ์ ศักดิ์ธนาวัฒน์

น้ากล้วยเล่าเรื่องราวชีวิตของเขาให้เราฟังอย่างสบายอารมณ์…

ตอนนี้ครอบครัวสุขสบายดีมีลูกสามคน คนโตเป็นผู้ชายมีหลานให้หนึ่งคน เป็นนักดนตรี คนที่สองทำธุรกิจส่วนตัว และคนเล็กยังเรียนหนังสืออยู่ ภรรยาคือคุณอี๊ด ธัญญพัทธ์ ศักดิ์ธนาวัฒน์ เป็นแม่บ้านดูแลเรื่องคิวการแสดง ส่วนงานการแสดงก็ยังมีอยู่สม่ำเสมอ มีธุรกิจเล็กๆ เสริมรายได้กับครอบครัวอีกสองสามอย่าง เช่นทำกาวดักแมลง และกำลังจะทำอาหารเสริม ยังไงก็ฝากกับแฟนๆถ้าหากว่า สินค้าน้ากล้วยออกสู่ท้องตลาด ชีวิตนักแสดงเริ่มมาตั้งแต่สมัยอายุ 10 ขวบ ตอนนั้นแสดงลิเกมาเรื่อยๆแล้วก็ก้าวเข้าสู่วงการตลกเมื่อตอนปี 2526 โดยการตั้งตลกทีมเล็กๆขึ้น ตระเวนแสดงงานคาเฟ่บ้างหลังจากนั้นไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเท่าที่ควรจึงขึ้นไปอยู่วงดนตรีลูกทุ่ง สุรชัย สมบัติเจริญ เพื่อไปหาประสบการณ์

หลังจากดิ้นรนอยู่พักใหญ่เกี่ยวกับงานแสดงตลก จนมาวันหนึ่งก็ไปเจอคณะสี่เกลอ พี่ๆสี่เกลอจากการอุปถัมภ์ของพี่เสกสรรค์ ภู่ประดิษฐ์ ในตอนนั้นพี่เสกสรรค์ เป็นพิธีกรรายการโลกดนตรีทางช่อง 5 ก็ให้การสนับสนุนตลกรุ่นใหม่ๆขึ้นมา อย่างเช่น พวกผม ที่ใช้ชื่อทีมว่าตลกเฮฟวี่สี่เกลอ ก็ค่อยๆเป็นที่รู้จัก  ประสบความสำเร็จขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย จากการแสดงตามคาเฟ่ต่างๆและก็มีงานที่เป็นการบันทึกเสียงลงเทปคาสเซ็ทในยุคนั้น และก็ขายได้มากพอสมควร และสร้างชื่อเสียงให้กับตลกสี่เกลอ และตลอดจนตัวน้ากล้วยเองก็ได้รับชื่อเสียงจากตรงนั้น เป็นที่สนใจของรุ่นพี่ๆในวงการตลก พวกเขาจับตามองว่าตลกคณะสี่เกลอเป็นตลกน้องใหม่มาแรงที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับของประชาชนในยุคนั้น

หลังจากนั้นก็ได้มีโอกาสมาร่วมงานกับที่ตลกคณะดู๋ ดอกกระโดนซึ่งแยกตัวออกมาจากเด๋อ ดอกสะเดา ก็มาเป็นหนึ่งในทีมงาน ก็เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จตามลำดับขึ้นมาพอสมควร อยู่กับดู๋ ดอกกระโดนซึ่งเป็นตลกสุภาพ ไม่พูดจาหยาบคาย ก็เป็นที่ยอมรับของประชาชน อยู่ได้มาประมาณสามปีเศษๆ ก็ได้ย้ายคณะไปอยู่กับโน้ต เชิญยิ้ม

ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่ย้ายคณะไปอยู่กับโน้ต เชิญยิ้ม ได้รับการสนับสนุนจากพี่โน้ต เชิญยิ้ม ให้เป็นหนึ่งในตระกูลเชิญยิ้ม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อยู่ในทีมพี่โน้ตก็ประมาณสามสี่ปี พอได้รับการต้อนรับจากแฟนๆตลกในคาเฟ่ยุครุ่งเรืองเป็นอย่างมากมาย และมีโอกาสได้เข้ามาทำงานในวงการทีวี จนกระทั่งได้มาทำทีมตลกของตัวเองมีชื่อว่าคณะกล้วย เชิญยิ้ม

ก็นับเป็นยุคเฟื่องฟูของตลกค่าเฟ่ ที่ทำมาหากินได้อย่าง เค้าเรียกว่ามีสภาพคล่องทางการเงิน มีโอกาสได้ซื้อบ้านซื้อรถ จริงๆซื้อบ้านซื้อรถมาตั้งแต่ตลกสี่เกลอแล้ว ก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลงขยับขยายให้มันใหญ่ขึ้น เช่นแรกๆก็เป็นบ้านทาวเฮาส์ เมื่อมีลูกเต้าขึ้นมามันไม่พออยู่ก็ขยับขยายเป็นบ้านเดี่ยว ก็ด้วยอาชีพตลกที่เราทำมาหากินก็ถือว่าเป็นอาชีพที่มีบุญคุณต่อครอบครัวน้ากล้วย เชิญยิ้มเป็นอย่างสูง ส่งลูกส่งเต้าเรียนหนังสือ ก็ประสบความสำเร็จมาเรื่อยๆ

เมื่อมีชื่อเสียงทางด้านการแสดงตลกแล้ว วงการภาพยนตร์ วงการทีวีก็จับตามองและก็ดึงเอาผู้ที่มีความสามารถในทางตลกเข้าไปร่วมแจมในรายการต่างๆ ก็มีโอกาสได้แสดงละครมาเรื่อยๆก็นับได้ว่าเป็นศิลปินตลกที่แสดงละครมากที่สุดคนหนึ่ง จนกระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังมีผลงานทางด้านละครโดยเฉพาะซิทคอมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดก็คือเรื่อง เฮง เฮง เฮง และปัจจุบันก็มีผลงานละครซิทคอมทางช่อง 7 สี ในเรื่อง อาม่าอพาร์ทเม้นและยังมีละครที่ถ่ายทำอยู่อีกสามสี่เรื่อง และก็ธุรกิจที่ได้กล่าวมาข้างต้น ที่เป็นธุรกิจเสริม ซึ่งจริงๆแล้วก็เป็นคนที่ชอบทำธุรกิจนู้นนี่นั้นไปเรื่อยๆเพื่อที่จะไว้ให้เป็นมรดกกับลูกหลาน ที่วันหนึ่งเราเองอาจจะทำมาหากินในทางการแสดงไม่ได้แล้ว เราก็ยังมีอาชีพที่เป็นหลักเป็นฐานให้ลูกเต้าเช่นการทำธุรกิจ

ด้านการเรียนหนังสือ ผมเองเป็นเด็กต่างจังหวัดที่ครอบครัวมาจากชาวนา ทางคุณแม่มาจากชาวนา ทางคุณพ่อเป็นศิลปินพื้นบ้านที่แสดงลิเก ก็ไม่ได้เรียนหนังสือมากนัก จากเด็กต่างจังหวัดคงจะได้เรียนประมาณจบปอสี่ปอห้า แล้วก็ไม่ได้เรียนเลยแต่ตัวเองก็เป็นคนรักการเรียนหนังสือ ที่จริงตอนเล็กก็อยากเรียนหนังสือเป็นครูชาวบ้าน อะไรประมาณนี้ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้เรียนตอนเล็กๆ เพราะต้องแสดงลิเกตามครอบครัวไปในที่ต่างๆ อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง ก็เลยไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ แต่เมื่อเติบโตมาก็ยังคิดถึงการเรียนอยู่เสมอและอีกอย่างหนึ่งก็อยากเป็นแบบอย่างที่ดี ให้กับลูกเต้าที่เขาเรียนหนังสือแต่อาจมีเกเรบ้าง ผลพวงที่พลอยได้ก็คือเป็นแบบอย่างที่ดีให้สังคมให้กับเด็กที่ไม่อยากเรียนหนังสือ ขี้เกียจเรียนหนังสือให้หันมามองว่าเราอายุมากขนาดนี้เรายังเรียนหนังสือเลย เพราะตัวผมเองก็ไปดิ้นรนเรียน กศน. จนจบมอหก และมาต่อปริญญาตรีปริญญาโทมหาวิทยาลัยเกริกชล ปัจจุบันนี้ก็จบนิเทศศาสตร์ ปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยเกริก

เนื่องจากว่าเราเป็นบุคคลที่เป็นที่รู้จักของบุคคลทั่วไปแม้กระทั่งบ้านเกิดของตัวเองอยู่ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ เราก็มามองเห็นว่า การเมืองก็เป็นอีกทางหนึ่งที่น่าจะช่วยเหลือสังคมได้ ในทางตรงเพราะว่านักการเมืองนั้นมีหน้าที่ดูแลบ้านเมืองให้เกิดความเจริญก้าวหน้าตลอดจนชีวิตของผู้คนที่อยู่ในชนบท เมื่อเล็งเห็นว่าการเมืองนั้นน่าจะทำอะไรให้กับสังคมได้บ้างตามกำลังความสามารถของเรา ก็เลยเข้าไปเป็นที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่เลือกจังหวัดนี้เพราะว่าเป็นบ้านเกิด ก็อยากจะทำอะไรให้กับบ้านเกิดของตัวเอง ด้วยสโลแกนที่ว่า สำนึกรักบ้านเกิด หลังจากที่เป็นที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดท่านพีระศักดิ์ พอจิต ปัจจุบันท่านเป็นรองประธาน ศนช คนที่สอง ได้หนึ่งสมัยก็โดนลงสนามใหญ่โดยการลงสมัคร สส ภายใต้สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีท่าน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรค และตอนนั้นก็มีท่านสุเทพ เทือกสุวรรณ เป็นเลขาธิการพรรค ด้วยการชื่นชอบเป็นการส่วนตัวด้วยการสมัคร สส ด้วยความคิดของตัวเองแล้วเป็นคนไม่ได้มีอคติกับใครก็ตามแม้กระทั่งการเมืองที่เรียกกันว่าเป็นคู่แข่ง ก็ไม่ได้มีอคติว่าเราโกรธคนนั้นเกลียดคนนี้ แต่ด้วยความที่อยากจะเป็นทางเลือกให้กับสังคม ให้กับประชาชนว่าการเมืองนั้นมันก็ต้องมีการแข่งขันเพื่อให้ชาวบ้านมีทางเลือก ก็เลยกระโดดเข้าไปเล่นการเมืองเพื่อที่จะเข้ามาดูแลสังคมอย่างที่กล่าวมา

สัมภาษณ์พิเศษ  น้ากล้วย ฐานุพงศ์ ศักดิ์ธนาวัฒน์

สมัยแรกที่ลงสมัคร สส ในจังหวัดอุตรดิตถ์เขต 2 มีอำเภอพิชัย อำเภอลับแล และ อำเภอตรอนยังไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเราเป็นนักการเมืองหน้าใหม่ที่อาสาเข้ามา และด้วยความที่เราไม่ค่อยได้ลงพื้นที่มากนักเพราะด้วยอาชีพการแสดงของเราต้องทำการแสดงอยู่ส่วนกลาง ถ้าจะบอกว่าน่าจะได้เปรียบเพราะเป็นนักแสดงที่คนรู้จัก มันก็ใช่ แต่การเมืองนั้นมันต้องลงไปคลุกคลีอยู่กับชาวบ้านให้เป็นที่รักที่ชอบ เอื้อเฟื้อเกื้อกูลดูแลซึ่งกันและกัน ก็เลยยังไม่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเป็นผู้แทน แต่ด้วยคะแนนเสียงหมื่นกว่าคะแนนที่พี่น้องประชาชนในเขตที่กล่าวมาได้ลงเสียงให้ก็ถือเป็นพระคุณอย่างสูงที่ทำให้เรามีกำลังใจในการที่จะสานต่อทางการเมือง ก็ต้องดูทิศทางว่าในอนาคตต่อไปนั้นเราเหมาะที่จะเป็นนักการเมืองจริงไหม เราทำได้ดีแค่ไหน แต่ใจมันรักที่จะทำ อยากจะทำ แต่ด้วยอาชีพและอายุ ตอนนี้ก็ 60 แล้ว อาจจะพิจารณาดูอีกทีว่าเราจะยังไปต่อทางด้านการเมืองไหม

ถามว่างานการเมืองมีผลกระทบกับงานแสดงไหม มีแน่นอนเพราะว่ามันคนละเรื่องกันเลยเพราะการเมืองกับการแสดงนั้นสายอาชีพสายงานมันคนละอย่าง นักแสดงมีหน้าที่ทำให้คนยิ้ม คนหัวเราะ สร้างความสุขความบันเทิง แต่สายการเมืองนั้นมีหน้าที่ดูแลกฎหมาย ดูแลความเจริญของบ้านของเมือง แต่ในขณะเดียวกันก็เหมือนมีคู่แข่งซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจิตใจคู่แข่งเขาคิดอะไรยังไงกับเรามันก็เหมือนยืนอยู่คนละฝั่ง อาจจะมีการใส่ไฟเหมือนสาดน้ำเข้าหากัน มีการโจมตีกันในเรื่องชื่อเสียง แต่ตัวผมเองไม่นิยมแบบนี้เลย เพราะว่าในเรื่องส่วนตัวนั้นแต่ละคนก็มีข้อผิดพลาดในการดำเนินชีวิตอยู่แล้วเพียงแต่ว่าเราไม่ได้ไปเป็นคนเลวร้ายอะไรมากมายจนกระทั่งมาอาสาทำงานให้บ้านให้เมืองไม่ได้ ด้วยความที่เป็นนักแสดงนั้นเราเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง เป็นบุคคลที่เขารู้จัก เราจะดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวังอยู่แล้ว อาจจะมีผิดพลาดบ้างเล็กๆน้อยๆ ของชีวิต แต่ไม่ใช่ว่าไปเที่ยวทะเลาะคนนู้นคนนี้ ตั้งตัวเป็นนักเลงหัวไม้ จ้างคนนู้นไปตีหัวคนนี้หรือไปค้ายาเสพติด ไปส่งเสริมความไม่ดีของสังคม อะไรทำนองนั้น เราไม่มีในสมองอยู่แล้ว มีแต่คิดว่าเราจะทำยังไงให้กับประเทศชาติให้กับพี่น้องประชาชนที่อยู่ในชนบทมีชีวิตที่ดีขึ้นมีความเป็นอยู่ที่ทัดเทียมกับคนในเมืองมากขึ้น ถึงแม้มันจะได้ไม่เท่านักก็ให้ใกล้เคียงให้อยู่ดีกินดี มีความเจริญรุ่งเรืองไปหาเขา เช่น ถนนหนทาง ไฟฟ้า น้ำประปา การศึกษา การรักษาพยาบาล อะไรประมาณนี้ เราก็มองไปถึงลูกถึงหลานในอนาคตต่อไป ซึ่งพวกเขาก็ต้องมาดูแลประเทศชาติต่อจากพวกเรา มองการเมืองเป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องในทางบวกมากกว่า การเมืองเป็นเรื่องของการอาสา การเมืองไม่ใช่เป็นเรื่องธุรกิจ เป็นเรื่องของการอาสา เมื่อบุคคลที่พร้อมจริงๆที่กระโดดเข้ามาเล่นการเมืองต้องเสียสละจริงๆ เสียสละเพื่อมาดูแลบ้านเมืองให้มันดีทัดเทียมนานาอารยประเทศ ไม่ใช่ กระโดดเข้ามาเพื่อมาหาเศษเล็กเศษน้อยในทางธุรกิจ อันนี้ผมว่าผิด

สัมภาษณ์พิเศษ  น้ากล้วย ฐานุพงศ์ ศักดิ์ธนาวัฒน์ทำงานเยอะๆมีผลกระทบกับครอบครัวไหม มันก็มีในเรื่องของเวลา ที่เราไม่ได้อยู่ดูแลครอบครัว บางทีก็ไปกันสองคนตายาย ช่วยกันขับรถ เช่นการไปทำการเมืองในยุคที่ไปเป็นที่ปรึกษานายกจังหวัดอุตรดิตถ์นั้น เราก็ต้องขับรถขึ้นไปด้วยความเหนื่อยยากสองคนสามีภรรยาจนกระทั่งจะไปตกถนนก็มีอะไรอย่างนี้ ก็ต้องวิ่งกลับมาทำงานบันเทิงในกรุงเทพเพื่อเอาเงินมาจุนเจือครอบครัวเพราะเราไม่ได้มีรายได้จากการไปเป็นที่ปรึกษานายกมากมายเพียงแต่มีเงินเดือนหมื่นกว่าบาทซึ่งมันก็ไม่พอที่จะมาดูแลครอบครัวอยู่แล้ว เพียงแต่เราเสียสละเพื่อที่จะไปทำให้บ้านให้เมืองเท่านั้นเอง อุปสรรคมีไหม ด้วยครอบครัวก็ไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้วเพราะเราอยากทำอะไรที่มันเป็นประโยชน์ต่อสังคม ผู้คน ครอบครัวก็สนับสนุนอยู่แล้ว ด้วยส่วนตัวเองก็ชอบอยู่แล้วก็คิดว่าอุปสรรคพวกนี้เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง เมื่อเรามีจิตอาสาเข้ามาแล้วเราก็ต้องทำให้เต็มที่ เมื่อวันหนึ่งมันหมดแรงหรือมีคนรุ่นใหม่มาสานต่อแล้วเราก็ค่อยๆถอยออกมาแค่นั้นเอง ก็ได้แต่ภาวนาว่าคนรุ่นใหม่จะก้าวเข้ามาดูแลประเทศชาติในรุ่นต่อๆไปก็น่าจะเป็นคนดีๆที่พร้อมจะเสียสละจริงๆให้กับสังคม

ในส่วนของครอบครัวก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะลูกเต้าก็โตกันเกือบหมดแล้ว เหลือคนเล็กคนเดียวที่เขาก็ไม่ได้เกเร ครอบครัวเราก็อบอุ่นดี อยากทำอะไร อยากกินอะไร อยากไปไหนก็ได้ทำ ได้ไปอย่างที่ใจเราปรารถนา แม้ไม่ร่ำรวยมากนัก ผมว่าการร่ำรวยมากแล้วเราไปร่ำรวยจากสิ่งผิดกฎหมาย จากธุรกิจสีเทาซึ่งมันมีผลกับชีวิตในอนาคต คือผิดกฎหมายแล้ววันหนึ่ง ต้องไปติดคุกติดตาราง อันนี้ไม่น่าภูมิใจ แล้วเราก็นอนไม่หลับด้วย ผมเป็นคนอย่างนั้น ทำอะไรผิดมามันจะนอนไม่หลับ สู้เราพอมีพอกินแล้วเราอยู่สุขสบาย เกิดมาเป็นมนุษย์ สบายที่ใจ สิ่งไหนที่ทำแล้วสบายใจอันนี้เป็นความสุขอย่างแท้จริง ไม่ใช่ทำแล้วร่ำรวยแต่ไม่สบายใจ อันนั้นถือว่าไม่ใช่ความสุข มันซ่อนไว้ข้างใน คนอื่นเขาไม่รู้หรอกแต่ตัวเราเองรู้ว่าเราสุขหรือเราทุกข์

สุดท้ายอยากฝากความรักอีกสักนิด กับเด็กวัยรุ่นที่โตมายังไม่ถึงวัยอันควรแล้วเป็นคู่รักกันแล้วไปมีเซ็กซ์กัน ต้องรู้จักยังยั้งชั่งใจไว้บ้าง ให้ถึงวัยอันสมควรก่อน คือรักกันรักได้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ปรึกษาหารือเรื่องเรียนหนังสือ ทำการบ้านไม่ได้ก็ปรึกษาหารือกัน ในเรื่องสิ่งดีๆ หรือพากันไปเล่นกีฬาดีกว่าที่จะไปหมกมุ่นเรื่องเพศสัมพันธ์ เพราะเมื่อพลาดขึ้นมาถึงกับท้อง เราไม่สามารถเลี้ยงดูกันและกันได้เลย พอมีภาระมีลูกขึ้นมาอีก ผมเห็นหลายรายเอาลูกเอาสายเลือดตัวเองไปทิ้งก็เป็นเรื่องที่น่าอนาจใจมาก ผมเห็นภาพเหล่านี้แล้วรับไม่ได้ ผมไม่กล้าดูเด็กถูกทิ้ง เป็นภาพที่บั่นทอนจิตใจอย่างมาก จนถึงขั้นหดหู่ เพราะฉะนั้นอยากฝากลูกๆหลานๆที่อยู่ในวัยเรียน อาจจะมีเรื่องความรักเข้ามาได้อยู่แต่เราต้องหัดยับยั้งชั่งใจ รักให้เป็นรักให้ถูกทาง เรียนให้เป็น เรียนให้ถูกทาง คือใช้ชีวิตให้เป็นอย่าประมาท ถ้าพลาดขึ้นมาแล้วจะแก้ไขอะไรไม่ได้ หลายคนถึงกับฆ่าตัวตายก็มี รักได้แต่หักให้เป็น ถ้าไม่เข้าใจถามผู้ปกครอง ในยุคนี้สมัยนี้เรื่องเพศสัมพันธ์มันต้องเปิด ผู้ปกครองก็ต้องเป็นที่ปรึกษาที่ดีของลูก และสิ่งหนึ่งที่น่าเป็นห่วงในสังคมไทยคือ ความห่างไกลระหว่างพ่อ แม่ ลูก คนเรียนจบเข้ามาทำงานในเมืองใหญ่ เหลือเพียงผู้เฒ่าผู้แก่ที่อยู่ทางบ้านเกิด เมื่อมาทำงานในเมืองใหญ่มาพบรัก มาแต่งงานมีคู่ครอง มีลูก ส่งลูกกลับไปให้พ่อให้แม่เลี้ยงซึ่งพ่อแม่ก็แก่เฒ่า เลี้ยงดูลูกหลานได้ไม่เต็มที่ ความอบอุ่นมาถูกเว้นวรรคไปเพราะว่าตากับหลานหรือย่ากับหลาน แต่ความอบอุ่นก็ไม่เท่าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ใครที่มีศักยภาพเลี้ยงดูลูกที่เกิดมาได้แล้วผมว่าเราเลี้ยงดูเองให้ความใกล้ชิดความรัก ความอบอุ่นแก่ลูกหลาน ด้วยตัวเองน่าจะดีกว่า ปู่ย่าตายายท่านดูแลก็ตาลูกหลานไม่ทันเพราะความชรา ความคิดก็ไม่ทันกัน ฝากสังคมด้วยว่าให้ช่วยกันเป็นหูเป็นตา ให้สังคมอยู่อย่างสันติสุข

ที่มา:  Siamscope.com 

 13,828 ,  4 

No Comments Yet

Leave a Reply

Your email address will not be published.

You may use these HTML tags and attributes: <a href="" title=""> <abbr title=""> <acronym title=""> <b> <blockquote cite=""> <cite> <code> <del datetime=""> <em> <i> <q cite=""> <s> <strike> <strong>

Siam Scope Magazine